วันพุธที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

การเขียนอักษรไทย

สักครั้งในชีวิต


สักครั้งในชีวิต



                                                                                                        
อย่าคิดว่าสูญเสียแล้วชีวิตจะต้องเป็นศูนย์ เรานับหนึ่งใหม่ได้เสมอหากเราคิดที่จะเริ่มต้นใหม่
 ก็เหมือนกับที่เราล้มแล้วเรายังลุกขึ้นมายืนอีกครั้งหนึ่ง
บ่อยครั้งที่ชีวิตผิดพลาดไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตามแต่  เรามักจะเอาสมาธิไปจดจ่ออยู่กับความผิดพลาดนั้นซ้ำเติมตัวเองให้ทุกข์ ให้เสียใจ ทั้งๆที่รู้ว่าไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมา และเราก็ไม่สามารถที่จะย้อนเวลากลับไปได้อีกแล้วเพราะการดำเนินชีวิตของเราต้องเดินไปข้างหน้าไม่ใช่หยุดอยู่กับที่  แต่ไม่รู้ว่าทำไมเราจึงเลือกที่จะอยู่กับความเศร้าเสียใจนั้น  ไม่ยอมที่จะปล่อยวางมันไปจากชีวิตของเรา ทั้งๆที่รู้ว่ารสชาติของความเสียใจนั้นมันเป็นอย่างไร
การที่เราได้ปล่อยให้ชีวิตของเราได้พบกับความผิดพลาดบ้างก็ดี  เพราะถ้าคนเราทำทุกอย่างได้ตามความต้องการของตัวเองได้ทุกอย่างก็คงไม่มีใครต้องพบกับคำว่าเสียใจ เพราะว่าความเสียใจมาพร้อมกับความสูญเสีย เมื่อมีทั้งสองอย่างนี้เราก็ต้องพร้อมที่จะลุกขึ้นมานับหนึ่งขึ้นมาใหม่เมื่อใจเราพร้อม  และให้เก็บความผิดพลาดนั้นเป็นบทเรียนอันล้ำค่าให้กับชีวิตของเรา
เมื่อเรารู้วิธีแก้ไขให้ชีวิตของเราดีขึ้นก็จะทำให้เราได้พบกับความสุขอีกครั้ง และนั้นทำให้เราได้เรียนรู้ชีวิตทั้งสองด้านในตัวของเราเอง  เมื่อนั้นเราจะไม่เสียใจกับการที่เราได้พบกับความเศร้าหรือความเสียใจที่ได้พบในครั้งนั้นและยังได้มีโอกาสได้นับหนึ่งอีกครั้ง แต่ถ้าหากเรายังเสียใจอยู่และจมอยู่กับความเสียใจนั้นเราก็จะไม่มีโอกาสที่จะได้นับหนึ่งขึ้นใหม่ได้หรอก
เราลองมองดูวิถีชีวิตของดอกทานตะวันสิ ชีวิตมีแต่ความเบิกบานเพราะรู้จักที่จะใช้ชีวิตไปพร้อมๆกับแสงตะวัน  แสงสว่างที่ส่องนำทางให้ชีวิตทุกชีวิตยังคงมีความหวังในการดำเนินชีวิตไปอย่างมีเป้าหมาย  แม้ว่ายามที่ดอกทานตะวันร่วงโรยลงแต่ยังทิ้งเมล็ดพันธุ์ไว้ให้เจริญงอกงามอีก  เพื่อที่จะได้รับแสงอีกครั้ง
ดั้งนั้นเราไม่ควรที่จะปิดกั้นตัวเองให้จมอยู่กับความเสียใจนั้น  แล้วยังจมอยู่กับความคิดที่ว่าชีวิตของเราไม่สามารถที่จะนับหนึ่งขึ้นได้อีกแล้วในชีวิตนี้  ดูอย่างดอกทานตะวันสิเป็นดอกไม้ยังคิดที่จะเรียนรู้วิถีการดำเนินชีวิตให้กับตัวเองเพื่อให้มีความอยู่รอด  เราเป็นคนก็ต้องใช้สติเพื่อที่จะได้มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้เพื่อมีความสุขและดำเนินชีวิตไปอย่างมีความสุขไม่มัวจมอยู่กับความเศร้าเสียใจ  เราต้องคิดว่าชีวิตของเรายังมีทางออกอยู่เสมอไม่ว่าจะเป็นทางไหน  ถ้าเรามีสติ ปัญญา และสมาธิ  เราก็ไม่อับจนหนทางก็เหมือนกับดวงตะวันที่ลาแล้วไม่ลาลับขอบฟ้าไปยังกลับมาสาดส่องแสงสว่างให้กับเราอยู่ทุกวัน  ชีวิตของเรายังมีทางออกหากตราบใดที่บนโลกใบนี้ยังมีดวงตะวันคอยส่องแสง
แม้ว่าชีวิตยังจมอยู่กับความเศร้า เสียใจ  ก็ให้เราอยู่กับความเศร้าความเสียใจนั้นให้เพียงพอ  อยากจะร้องไห้ก็ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมา  แต่ไม่ควรจมอยู่กับสิ่งเหล่านั้นนานเกินไป เมื่อได้อยู่กับสิ่งนั้นจนพอใจแล้วก็ควรที่จะลุกขึ้นมานับหนึ่งใหม่ให้กับชีวิตตัวเองอีกครั้ง  และนำบทเรียนจากอดีตมาใช้เป็นเข็มทิศในการดำเนินชีวิตครั้งต่อไปเพื่อที่จะได้ไม่ผิดพลาดอีก  ความเศร้านี้มีทั้งข้อดีและข้อเสียในตัวของมันเอง   ข้อเสียคือทำให้เราโศกเศร้า เสียใจ เสียเวลา และเจ็บ แต่ข้อดีของมันก็คือสอนให้เรารู้ว่าเราจะไม่ผิดพลาดตรงนี้อีก ”   ถึงอย่างไรก็ตามทุกคนที่เกิดมาอยู่บนโลกล้วนมีความทุกข์กันทั้งสิ้นแล้วแต่ว่าแต่ละคนจะยึดติดกับสิ่งเหล่านั้นนานเพียงใด แล้วคิดหาทางออกให้กับชีวิตตัวเองอย่างไร
ชีวิตของคนเราก็เหมือนกับท้องฟ้าเพราะท้องฟ้ามีด้วยกันสองแบบ คือ  ฟ้าก่อนฝนตกกับฟ้าหลังฝนตก  เพราะในช่วงที่เราอยู่กับความทุกข์  ความเศร้า  ความเสียใจ  ก็เหมือนกับช่วงที่ท้องฟ้าก่อนฝนตกที่มีแต่ความมืดมัวไม่มีแสงจากดวงตะวันคอยสาดแสง นำพาความน่ากลัวหลายอย่างเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นแรงลม เสียงฟ้าร้อง สายฝนที่ตกลงมาอย่างกระหน่ำ   เมื่อได้สัมผัสกับช่วงฟ้าก่อนที่ฝนจะตกนั้นล้วนแต่มีความวังเวง หดหู่   แต่เมื่อผ่านช่วงนั้นมาได้ก็จะมาเจอกับท้องฟ้าหลังฝนตกก็จะมีแต่ความสว่าง  สดชื่น  เหล่าฝูงนกต่างพากันออกหากิน  ทำให้ดวงตะวันกลับมามีแสงสว่างคอยสาดแสงส่องนำทางให้กับสิ่งมีชีวิตทั้งหลายได้กลับมาความสุขกันอีกครั้ง
ดังนั้นขอเพียงที่เรากล้าที่จะเป็นนกที่ปีกหักที่พร้อมจะรักษาเยียวยาตัวเอง  และออกเดินไปตามทางได้โดยไม่ต้องกลัวว่าหนทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไร  เพราะเราได้นำบทเรียนจากอดีตมาเป็นคติสอนใจของเราอยู่เสมอ ทำให้ตัวเองได้กลับมาพบกับความสุขที่แท้จริงของชีวิตอีกครั้ง กล้าที่จะก้าวสู่โลกใบกว้างด้วยความมั่นใจอีกครั้งหลังจากผ่านเรื่องราวต่างๆมามากมาย